ไม้ดอกไม้ประดับ หมายถึง ไม้ดอกที่นำมาใช้ในการประดับตกแต่งสวน หรือสถานที่ต่างๆ โดยไม้ดอก (Flowering plant) หมายถึง พรรณไม้ที่ออกดอกมีสีสันสวยงาม หรือมีกลิ่นหอม อาจจำแนกไม้ดอกออกได้เป็น ๒ วิธี คือ วิธีแรกการจำแนกตามลักษณะของพรรณไม้ แบ่งออกเป็น ไม้ดอกที่เป็นไม้ล้มลุก ไม้ดอกที่เป็นไม้พุ่ม ไม้ดอกที่เป็นไม้เถาหรือไม้เลื้อย ไม้ดอกที่เป็นไม้ต้นหรือไม้ใหญ่ยืนต้น
๑) ไม้ดอกที่เป็นไม้ล้มลุก (Flowering herb)
หมายถึง ไม้ดอกประเภทที่มีวงจรชีวิตสั้น ส่วนใหญ่เมื่อเกิดมาแล้วจะเจริญเติบโตให้ดอกจนครบวงจรชีวิต แล้วตายภายในฤดูเดียวหรือปีเดียว จัดเป็นไม้ดอกฤดูเดียว เป็นไม้ดอกที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับมากที่สุด เพราะปลูกและตกแต่งได้ง่าย มีการเจริญเติบโตเร็ว นอกจากไม้ดอกล้มลุกที่มีอายุปีเดียวแล้ว มีไม้ดอกล้มลุกบางชนิดที่มีอายุมากกว่า ๑ ปี ซึ่งจัดเป็นไม้ดอกล้มลุกสองฤดู หรือไม้ดอกล้มลุกหลายฤดู
ไม้ดอกล้มลุกที่เป็นไม้ดอกฤดูเดียวจะมีอายุสั้นมาก นับจากวันที่เริ่มเพาะเมล็ด จนถึงออกดอกใช้เวลาเพียง ๖๐ - ๑๒๐ วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ดอก จากนั้นจะออกดอกสวยงามอยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง คือประมาณ ๓๐ - ๖๐ วัน แล้วก็เริ่มเหี่ยวร่วงโรยไป โดยมีเมล็ดเกิดขึ้นภายในดอกซึ่งเมื่อเมล็ดแก่จัด ก็สามารถนำไปปลูกให้เป็นไม้ดอกรุ่นใหม่ได้
ส่วนไม้ดอกที่มีอายุอยู่ได้นานหลายปี เช่น เวอร์บีนา แพรเซี่ยงไฮ้ ผกากรอง สร้อยทอง พยับหมอก บานเช้า บานบุรี กระดุมทอง แพงพวย ไม่จำเป็นต้องปลูกต้นใหม่ทดแทน เพียงแต่ตัดแต่งกิ่งที่แห้งเหี่ยว กิ่งแก่ และกิ่งที่เป็นโรคออก พร้อมทั้งตัดแต่งต้นให้สั้นลง ตลอดจนปรับปรุงดินใส่ปุ๋ยเพิ่มเติม เพื่อให้ต้นเก่าแตกกิ่งก้าน และออกดอกชุดใหม่ที่สวยงามต่อไป การตัดแต่งกิ่งแต่งต้นนี้จะกระทำต่อเนื่องไปจนกว่าต้นจะทรุดโทรม และแก่ตายไปในที่สุด
๑) ไม้ดอกที่เป็นไม้ล้มลุก (Flowering herb)
หมายถึง ไม้ดอกประเภทที่มีวงจรชีวิตสั้น ส่วนใหญ่เมื่อเกิดมาแล้วจะเจริญเติบโตให้ดอกจนครบวงจรชีวิต แล้วตายภายในฤดูเดียวหรือปีเดียว จัดเป็นไม้ดอกฤดูเดียว เป็นไม้ดอกที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับมากที่สุด เพราะปลูกและตกแต่งได้ง่าย มีการเจริญเติบโตเร็ว นอกจากไม้ดอกล้มลุกที่มีอายุปีเดียวแล้ว มีไม้ดอกล้มลุกบางชนิดที่มีอายุมากกว่า ๑ ปี ซึ่งจัดเป็นไม้ดอกล้มลุกสองฤดู หรือไม้ดอกล้มลุกหลายฤดู
ไม้ดอกล้มลุกที่เป็นไม้ดอกฤดูเดียวจะมีอายุสั้นมาก นับจากวันที่เริ่มเพาะเมล็ด จนถึงออกดอกใช้เวลาเพียง ๖๐ - ๑๒๐ วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ดอก จากนั้นจะออกดอกสวยงามอยู่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง คือประมาณ ๓๐ - ๖๐ วัน แล้วก็เริ่มเหี่ยวร่วงโรยไป โดยมีเมล็ดเกิดขึ้นภายในดอกซึ่งเมื่อเมล็ดแก่จัด ก็สามารถนำไปปลูกให้เป็นไม้ดอกรุ่นใหม่ได้
ส่วนไม้ดอกที่มีอายุอยู่ได้นานหลายปี เช่น เวอร์บีนา แพรเซี่ยงไฮ้ ผกากรอง สร้อยทอง พยับหมอก บานเช้า บานบุรี กระดุมทอง แพงพวย ไม่จำเป็นต้องปลูกต้นใหม่ทดแทน เพียงแต่ตัดแต่งกิ่งที่แห้งเหี่ยว กิ่งแก่ และกิ่งที่เป็นโรคออก พร้อมทั้งตัดแต่งต้นให้สั้นลง ตลอดจนปรับปรุงดินใส่ปุ๋ยเพิ่มเติม เพื่อให้ต้นเก่าแตกกิ่งก้าน และออกดอกชุดใหม่ที่สวยงามต่อไป การตัดแต่งกิ่งแต่งต้นนี้จะกระทำต่อเนื่องไปจนกว่าต้นจะทรุดโทรม และแก่ตายไปในที่สุด
๒) ไม้ดอกที่เป็นไม้พุ่ม (Flowering shrub)
หมายถึง ไม้ดอกที่มีเนื้อไม้แข็ง ลำต้นตั้งตรงเป็นอิสระได้โดยไม่ต้องอาศัยต้นไม้หรือวัสดุอื่นยึดเหนี่ยวพาดพิง มีอายุอยู่ได้นานหลายปี มีความสูงไม่มากนัก และมีการแตกกิ่งก้านไม่สูงจากพื้นดิน เช่น เข็ม พุดลำโพง คริสต์มาส ชบา ชวนชม ดอนญ่า พยับหมอก ราชาวดี และยี่เข่ง
หมายถึง ไม้ดอกที่มีเนื้อไม้แข็ง ลำต้นตั้งตรงเป็นอิสระได้โดยไม่ต้องอาศัยต้นไม้หรือวัสดุอื่นยึดเหนี่ยวพาดพิง มีอายุอยู่ได้นานหลายปี มีความสูงไม่มากนัก และมีการแตกกิ่งก้านไม่สูงจากพื้นดิน เช่น เข็ม พุดลำโพง คริสต์มาส ชบา ชวนชม ดอนญ่า พยับหมอก ราชาวดี และยี่เข่ง
๓) ไม้ดอกที่เป็นไม้เถา หรือไม้เลื้อย (Flowering climber)
หมายถึง ไม้ดอกที่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ด้วยตนเอง จำเป็นต้องอาศัยยึดเหนี่ยวพาดพิงต้นไม้หรือวัสดุอื่นในการทรงตัว หากไม่มีสิ่งใดให้พาดพิง ก็จะเลื้อยไปตามพื้นดิน เช่น เล็บมือนาง กระเทียมเถา ชำมะนาด อัญชัน กุมาริกา ถ้ามีอายุอยู่ได้หลายปี เราเรียกไม้ดอกดังกล่าวนี้ว่า ไม้เถายืนต้น แต่ถ้าเป็นไม้เถาที่มีอายุสั้น มีลักษณะล้มลุก เช่น รกฟ้า ผักบุ้งฝรั่ง เรียกว่า ไม้เถาล้มลุก
๔) ไม้ดอกที่เป็นไม้ต้นหรือไม้ใหญ่ยืนต้น (Flowering tree)
หมายถึง ไม้ดอกที่มีเนื้อไม้แข็ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นใหญ่กว่าไม้พุ่มและมีความสูงเกิน ๖ เมตร สามารถทรงตัวอยู่ได้ด้วยตนเอง มีอายุอยู่ได้นานปี เช่น เสลา ตะแบก อินทนิล นนทรี พิกุล ฝ้ายคำ ทองกวาว จามจุรี ประดู่
หมายถึง ไม้ดอกที่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ด้วยตนเอง จำเป็นต้องอาศัยยึดเหนี่ยวพาดพิงต้นไม้หรือวัสดุอื่นในการทรงตัว หากไม่มีสิ่งใดให้พาดพิง ก็จะเลื้อยไปตามพื้นดิน เช่น เล็บมือนาง กระเทียมเถา ชำมะนาด อัญชัน กุมาริกา ถ้ามีอายุอยู่ได้หลายปี เราเรียกไม้ดอกดังกล่าวนี้ว่า ไม้เถายืนต้น แต่ถ้าเป็นไม้เถาที่มีอายุสั้น มีลักษณะล้มลุก เช่น รกฟ้า ผักบุ้งฝรั่ง เรียกว่า ไม้เถาล้มลุก
๔) ไม้ดอกที่เป็นไม้ต้นหรือไม้ใหญ่ยืนต้น (Flowering tree)
หมายถึง ไม้ดอกที่มีเนื้อไม้แข็ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นใหญ่กว่าไม้พุ่มและมีความสูงเกิน ๖ เมตร สามารถทรงตัวอยู่ได้ด้วยตนเอง มีอายุอยู่ได้นานปี เช่น เสลา ตะแบก อินทนิล นนทรี พิกุล ฝ้ายคำ ทองกวาว จามจุรี ประดู่
ประดู่แดง ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ แคแสด รัตมา แคฝรั่ง โสกอินเดีย ปีบ เหลืองอินเดีย และหางนกยูงฝรั่ง
เป็นการจำแนกตามลักษณะของพรรณไม้ และวิธีที่ ๒ เป็นการจำแนกตามประโยชน์ใช้สอย
การจำแนกตามประโยชน์ใช้สอย
เนื่องจากไม้ดอกมีอยู่มากมายหลายพันชนิด แต่ละชนิดมีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน เพื่อความสะดวก และความคุ้มค่าในการนำไปตกแต่ง จึงมีการจำแนกประเภทไม้ดอกตามประโยชน์ใช้สอยดังนี้
๑) ไม้ตัดดอก (Cut flower plant)
หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูก ณ สถานที่ที่มีภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม เช่น สายลม แสงแดด อุณหภูมิ ดิน น้ำ ความชื้นสัมพัทธ์ การคมนาคม และระยะทางที่เหมาะสม เพื่อตัดเฉพาะส่วนดอกหรือช่อดอกไปใช้ประโยชน์ หรือจำหน่าย เช่น แกลดิโอลัส เบญจมาศ เยอร์บีรา หน้าวัว กุหลาบ ดาวเรือง คาร์เนชัน และบัวหลวง ไม้ดอกดังกล่าวนี้ จะถูกตัดออกจากต้นไปใช้ประโยชน์พร้อมทั้งก้านดอกด้วย ทั้งนี้เพราะก้านดอกเป็นแหล่งสะสมอาหาร เมื่อดอกถูกตัดจากต้นเพื่อนำไปปักแจกัน หรือจัดกระเช้า อาหารที่เก็บสะสมไว้ที่ก้านดอกจะถูกนำมาใช้ ช่วยให้ดอกไม้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ดังนั้นคุณลักษณะสำคัญของไม้ตัดดอก นอกจากดอกจะต้องสวยสดแล้ว ก้านดอกก็ต้องใหญ่ ยาว และแข็งแรง แต่ไม่เกะกะเก้งก้าง บรรจุหีบห่อได้ง่าย ขนส่งสะดวก มีน้ำหนักไม่มากนัก และเก็บรักษาได้นาน
ยังมีไม้ดอกอีกหลายชนิดที่มีก้านดอกสั้น ก้านดอกกลวงและเปราะหักง่าย แต่ดอกสวย หรือมีกลิ่นหอม อายุการใช้งานทนนาน สามารถใช้ประโยชน์ได้ดีในวิถีชีวิตของคนไทย โดยการนำเฉพาะส่วนดอกไปร้อยมาลัย ทำอุบะ จัดพานพุ่ม หรือนำไปจัดแจกัน โดยใช้ก้านเทียมแทน เช่น รัก มะลิ พุด จำปี จำปา แวนดาโจคิม บานไม่รู้โรย
๒) ไม้ดอกกระถาง (Flowering pot plant)
หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูกเลี้ยงในกระถางตั้งแต่เริ่มเพาะเมล็ดหรือย้ายต้นกล้า โดยการเปลี่ยนกระถางให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ ให้เหมาะสมกับความสูงและการเจริญเติบโตของต้น เมื่อออกดอกจะนำไปใช้ประโยชน์ในการประดับทั้งต้นทั้งดอก พร้อมทั้งกระถาง ทำให้อายุการใช้งานทนนานกว่าไม้ตัดดอก เช่น บีโกเนีย แพนซี แอฟริกันไวโอเลต กล็อกซิเนีย อิมเพเชียน พิทูเนีย
๑) ไม้ตัดดอก (Cut flower plant)
หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูก ณ สถานที่ที่มีภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม เช่น สายลม แสงแดด อุณหภูมิ ดิน น้ำ ความชื้นสัมพัทธ์ การคมนาคม และระยะทางที่เหมาะสม เพื่อตัดเฉพาะส่วนดอกหรือช่อดอกไปใช้ประโยชน์ หรือจำหน่าย เช่น แกลดิโอลัส เบญจมาศ เยอร์บีรา หน้าวัว กุหลาบ ดาวเรือง คาร์เนชัน และบัวหลวง ไม้ดอกดังกล่าวนี้ จะถูกตัดออกจากต้นไปใช้ประโยชน์พร้อมทั้งก้านดอกด้วย ทั้งนี้เพราะก้านดอกเป็นแหล่งสะสมอาหาร เมื่อดอกถูกตัดจากต้นเพื่อนำไปปักแจกัน หรือจัดกระเช้า อาหารที่เก็บสะสมไว้ที่ก้านดอกจะถูกนำมาใช้ ช่วยให้ดอกไม้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ดังนั้นคุณลักษณะสำคัญของไม้ตัดดอก นอกจากดอกจะต้องสวยสดแล้ว ก้านดอกก็ต้องใหญ่ ยาว และแข็งแรง แต่ไม่เกะกะเก้งก้าง บรรจุหีบห่อได้ง่าย ขนส่งสะดวก มีน้ำหนักไม่มากนัก และเก็บรักษาได้นาน
ยังมีไม้ดอกอีกหลายชนิดที่มีก้านดอกสั้น ก้านดอกกลวงและเปราะหักง่าย แต่ดอกสวย หรือมีกลิ่นหอม อายุการใช้งานทนนาน สามารถใช้ประโยชน์ได้ดีในวิถีชีวิตของคนไทย โดยการนำเฉพาะส่วนดอกไปร้อยมาลัย ทำอุบะ จัดพานพุ่ม หรือนำไปจัดแจกัน โดยใช้ก้านเทียมแทน เช่น รัก มะลิ พุด จำปี จำปา แวนดาโจคิม บานไม่รู้โรย
๒) ไม้ดอกกระถาง (Flowering pot plant)
หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูกเลี้ยงในกระถางตั้งแต่เริ่มเพาะเมล็ดหรือย้ายต้นกล้า โดยการเปลี่ยนกระถางให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ ให้เหมาะสมกับความสูงและการเจริญเติบโตของต้น เมื่อออกดอกจะนำไปใช้ประโยชน์ในการประดับทั้งต้นทั้งดอก พร้อมทั้งกระถาง ทำให้อายุการใช้งานทนนานกว่าไม้ตัดดอก เช่น บีโกเนีย แพนซี แอฟริกันไวโอเลต กล็อกซิเนีย อิมเพเชียน พิทูเนีย
ไม้ดอกที่นำมาปลูกเป็นไม้กระถางจึงต้องมีทรงพุ่มต้นกะทัดรัด ไม่เกะกะเก้งก้าง หรือมีต้นสูงใหญ่เกินกว่าที่จะนำมาปลูกเลี้ยงได้ในกระถางขนาดเล็กพอประมาณ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการขนย้าย ที่สำคัญคือ ควรจะออกดอกบานพร้อมเพรียงกันเกือบทั้งต้น เพื่อความสวยงามในการใช้ประดับ ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าอย่างมาก มนุษย์สามารถปลูกเลี้ยงไม้ดอกหลายๆ ชนิดแม้จะมีขนาดต้นสูงใหญ่ในกระถางขนาดเล็ก โดยการใช้สารเคมีที่เรียกว่า สารชะลอการเจริญเติบโต ราดหรือพ่น เพื่อทำให้ไม้ดอกเหล่านั้นมีขนาดต้นเตี้ยลงตามความต้องการ ตลอดจนใช้เทคนิคบางประการในระหว่างการปลูกเลี้ยง เพื่อบังคับให้ไม้ดอกออกดอกพร้อมเพรียงกันทั้งต้นได้ โดยคงจำนวน ขนาด และสี ตลอดจนความสวยงามของดอกให้ใกล้เคียงกับของเดิมทุกประการ
๓) ไม้ดอกประดับแปลง (Bedding plant)
หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูกลงแปลง ณ บริเวณที่ต้องการปลูกตกแต่ง เพื่อประดับบ้านเรือน อาคารสถานที่ ตลอดจนสวนสาธารณะ โดยไม่ตัดดอกหรือส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ประโยชน์ แต่ปล่อยให้ออกดอกบานสะพรั่งสวยงามติดอยู่กับต้นภายในแปลงปลูก เพื่อประโยชน์ในการประดับ จนกว่าจะร่วงโรยไป
หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูกลงแปลง ณ บริเวณที่ต้องการปลูกตกแต่ง เพื่อประดับบ้านเรือน อาคารสถานที่ ตลอดจนสวนสาธารณะ โดยไม่ตัดดอกหรือส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ประโยชน์ แต่ปล่อยให้ออกดอกบานสะพรั่งสวยงามติดอยู่กับต้นภายในแปลงปลูก เพื่อประโยชน์ในการประดับ จนกว่าจะร่วงโรยไป
ตัวอย่างไม้ดอกไม้ประดับ
ชื่อสามัญ Croton ชื่อวิทยาศาสตร์ Codiaeum varicgatum
ลักษณะทั่วไป
โกสนเป็นพรรณไม้ยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดย่อมลำต้นมีความสูงประมาณ 3-
รัตนโกสินทร์ เศรษฐีสุพรรณ
ชื่อสามัญ Philodendro
ชื่อวิทยาศาสตร์ Philodendron spp
ลักษณะทั่วไป
ฟิโลเดนดรอนมีถิ่นกำเนิดอยู่ตามธรรมชาติ ในอเมริกาเขตร้อนและหมู่เกาะอินเดียตะวันตก เป็นพันธ์ไม้ใบหรือไม้ประดับที่ดูทรงต้นและใบมากกว่าที่จะดูดอก ตามธรรมชาติชอบขึ้นเลื้อยพันกับต้นไม้ใหญ่ๆ เป็นไม้ที่ชอบเลื้อยชอบไต่ตามสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง โดยใช้รากอาศัยเกาะพยุงต้นไว้ ลักษณะใบมีรูปร่างแปลกๆ ส่วนมากมีสีเขียวสด บางชนิดมีสีชมพูทองแดงอยู่ใต้ใบ ใบอ่อนบางชนิดมีสีชมพูหรือสีแดงอ่อนๆ เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวบางชนิดมีใบคล้ายใบลั่นทม เส้นใบสีแดงหรือชมพู พื้นใบสีเขียวอ่อน บางชนิดมีแฉกลึกเกือบถึงเส้นกลางใบ บางชนิดไม่มีลำดับต้นสูงขึ้นจากพื้นดิน ไม้ชนิดนี้ขอบใบจะค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ตามอายุของต้น ดังนั้นใบใหม่ที่เพิ่งผลิออกมาจึงมีขนาดเล็กเป็นธรรมดา
ชื่อไทย หมากเขียว
ชื่อสามัญ Mac Arthur palm
ตระกูล PALMAE
วงศ์ PALMAE
ถิ่นกำเนิด หมู่เกาะนิวกินี
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ptychosperma spp
ลักษณะทั่วไปตระกูล PALMAE
วงศ์ PALMAE
ถิ่นกำเนิด หมู่เกาะนิวกินี
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ptychosperma spp
หมากเขียวนี้จะแตกหน่อขึ้นเป็นกอรอบลำต้นลักษณะของกอสูงประมาณ 10 -
ชื่อสามัญ Deladium
ชื่อวิทยาศาสตร์ Caladium bicolor vent.
ลักษณะทั่วไป
บอลสีหรือที่เรียกกันแต่เดิมว่า บอนฝรั่ง จัดเป็นไม้ประเภทล้มลุกมีหัวสะสมออาหารอยู่ใต้ดิน หัวมีลักษณะคล้ายมันฝรั่ง ผิวภายนอกคล้ายเผือกหรือมัน เนื้อในละเอียดขาวนวลหรือขาวอมเหลืองอ่อน (ใช้ขยายพันธ์จากตาหรือเขี้ยวที่แตกงอกออกจากหัว) มีรากเป็นเส้นฝอยเล็กๆ แทงออกมาระหว่างหัวกับรอยต่อของลำต้น ซึ่งลำต้นของบอนสีสั้นมากคือ อยู่บริเวณเหนือหัวขึ้นไประหว่างหัวกับกาบ หากใบแก่ร่วงหลุดไปจึงจะเห็นลำต้น ส่วนที่ต่อจากหัวและลำต้นขึ้นไปเป็นกาบ มีลักษณะไม่กลม แต่แบนคล้ายของต้นกล้วย ต่อจากกาบขึ้นไปจรดคอใบก็เป็นก้านใบ มีบางพันธ์ที่บางก้านจะมีสีเดียวกันตลอดแต่บางก้านมีจุด หรือเส้นสั้น หรือเส้นสั้น หรือยาว เรียกว่า เสี้ยน ซึ่งต่างกับก้าน หรือเป็นที่รวมของสาแหรก หรือเป็นที่รวมของสาแหรก หรือทาง หรือเสี้ยน สำหรับใบก็มีลักษณะแตกต่างกัน เช่น ใบมน ใบแหลม ใบยาว ใบกลม แต่บางแห่งเรียกต่างกันคือ ใบโพธิ์ ใบไผ่ ใบไทย ใบพลู ใบบอน และใบหอก
ชื่อสามัญ Calathea
ชื่อวิทยาศาสตร์ Calathea picturata.,
ลักษณะทั่วไปคล้าเป็นพรรณไม้ที่มีหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน การเจริญเติบโตของลำต้นแตกเป็นกอ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-
ชื่อสามัญ Lettuce Tree
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pisonia alba
ลักษณะทั่วไป
แสงจันทร์เป็นไม้พุ่มชนิดหนึ่งที่มีใบบางค่อนข้างใหญ่สีเขียวอมเหลืองซึ่งแตกต่างกับไม้ทั่วไปที่มักมีใบสีเขียวเข้ม สีของใบจากต้นแสงจันทร์นี้มองดูแล้วเสมือนหนึ่งเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่าเบื่อจำเจเป็นบรรยากาศที่สวยสดได้
แสงจันทร์เป็นไม้พุ่มชนิดหนึ่งที่มีใบบางค่อนข้างใหญ่สีเขียวอมเหลืองซึ่งแตกต่างกับไม้ทั่วไปที่มักมีใบสีเขียวเข้ม สีของใบจากต้นแสงจันทร์นี้มองดูแล้วเสมือนหนึ่งเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่าเบื่อจำเจเป็นบรรยากาศที่สวยสดได้
ชื่อสามัญ lvy-Arum หรือ Devil-lvy
ชื่อวิทยาศาสตร์ Scindapsus sp.
ลักษณะทั่วไป
พลูด่างเป็นไม้เลื้อยขนาดเล็กในเขตร้อน มีลักษณะของใบสีเหลืองต่างสลับสีเขียวอ่อน ใช้สำหรับปลูกประดับให้เลื้อยขึ้นไปในแนวดิ่งหรือปลูกให้เลื้อยขึ้นตามฝาผนังเมื่อปลูกลงดินจะมีใบใหญ่กว่าปลูกในกระถาง ลักษณะต้นทั่วๆไปคล้ายพวก lvy คือเป็นไม้เถาพวกใบเท่านั้น ดอกไม่สวยงามเหมือนดอนพวก Arum มีกาบดอก (Spathes ) สีเขียวอ่อนห่อหุ้มเดือยของดอกอีกทีหนึ่งใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจสีเขียวสดสลับกับสีเหลืองนวล
ลักษณะทั่วไป
พลูด่างเป็นไม้เลื้อยขนาดเล็กในเขตร้อน มีลักษณะของใบสีเหลืองต่างสลับสีเขียวอ่อน ใช้สำหรับปลูกประดับให้เลื้อยขึ้นไปในแนวดิ่งหรือปลูกให้เลื้อยขึ้นตามฝาผนังเมื่อปลูกลงดินจะมีใบใหญ่กว่าปลูกในกระถาง ลักษณะต้นทั่วๆไปคล้ายพวก lvy คือเป็นไม้เถาพวกใบเท่านั้น ดอกไม่สวยงามเหมือนดอนพวก Arum มีกาบดอก (Spathes ) สีเขียวอ่อนห่อหุ้มเดือยของดอกอีกทีหนึ่งใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจสีเขียวสดสลับกับสีเหลืองนวล
ชื่อสามัญ King of Hrarts
ชื่อวิทยาศาสตร์ Homalomena wallisii
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ประดับที่มีรูปทรงสวยงามน่าดึงดูดสายตาด้วยความโดดเด่นของใบรูปหัวใจที่มีสีเขียวเข้มตัดกับสีแดงเข้มแต่เป็นพืชไม่ค่อยทนทาน ต้องการดูแลรักษาเป็นไม้พุ่มเตี้ยและแตกกอ สูง 45 -60 เซนติเมตร มีหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นอยู่เหนือดินก้านใบกลมสีเขียวหรือเขียวอมแดง หรือแดงเลือดหมูใบเป็นรูปหัวใจกลมโตโคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบ แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมันหลังใบอาจมีสีแดงเลือดหมูออกดอก เป็นช่อแทงออกมาจากกลางต้นออกดอกเป็นกลุ่ม 6 - 7 ดอก ดอกคล้ายดอกหน้าวัว กาบหุ้มดอกสีเขียวอ่อน มักนิยมเป็นไม้กระถาง หรือไม้คลุมดินในสวนใต้ร่มเงา เมื่อนำมาปลูกในอาคารอาจจะไม่ทนแล้งและโตช้าสักหน่อยแต่เสน่ห์จันทร์แดงเป็นไม้ประดับที่มีคนไทยนิยมปลูก เป็นไม้มงคลที่เชื่อว่าปลูกไว้แล้วจะโชคดีถ้านำมาตั้งไว้ในร้านค้าจะค้าขายดีมีกำไรเป็นเสน่ห์เมตตามหานิยมแก่คนทั่วไปมีความสามารถสูงในการ ดูดสารพิษในอากาศโดยเฉพาะสารพิษจำพวกแอมโมเนีย
เป็นไม้ประดับที่มีรูปทรงสวยงามน่าดึงดูดสายตาด้วยความโดดเด่นของใบรูปหัวใจที่มีสีเขียวเข้มตัดกับสีแดงเข้มแต่เป็นพืชไม่ค่อยทนทาน ต้องการดูแลรักษาเป็นไม้พุ่มเตี้ยและแตกกอ สูง 45 -
ชื่อสามัญ Anthurium
ชื่อวิทยาศาสตร์ Anthurium andraeanum
ลักษณะทั่วไป
หน้าวัวและเปลวเทียนเป็นไม้ดอกสกุลหน้าวัวเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่มีการ ปลูกเป็นการค้าในเขตร้อนชื้น โดยเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีเนื้อไม้อ่อนและมีอายุยืนลำต้นตั้งตรงความยาวของปล้องจะแตกต่างกันใปขี้นอยู่กับชนิดหรือพันธุ์ เมี่อยอดเจริญสูงขึ้นอาจพบรากบริเวณลำต้นและรากเหล่านี้จะเจริญยืดยาวลงสู่เครื่องปลูกได้ก็ต่อเมื่อโรงเรือนมีความชื้นสูงพอ ลำต้นอาจเจริญเป็นยอดเดี่ยวหรือ แตกเป็นกอก็ได้ ใบมีรูปร่างต่าง ๆ กัน เช่น รูปหัวใจ ดังเช่นที่พบในหน้าวัว หรือ รูปพายคล้ายใบของเขียวหมื่นปีและรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดดังที่พบในเปลวเทียนแต่ไม่ว่าจะมีรูปร่าง อย่างไรจะสังเกตเห็นว่าปลายใบแหลม ในพวกที่มี ใบกว้างเส้นใบจะเรียงตัวคล้ายร่างแหขณะที่พวกซึ่งมีใบแคบเส้นใบจะเรียงตัว คล้ายเส้นขนาน แต่ทั้งนี้เส้นใบมักจะนูนขึ้นอย่างชัดเจน
ลักษณะทั่วไป
หน้าวัวและเปลวเทียนเป็นไม้ดอกสกุลหน้าวัวเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่มีการ ปลูกเป็นการค้าในเขตร้อนชื้น โดยเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีเนื้อไม้อ่อนและมีอายุยืนลำต้นตั้งตรงความยาวของปล้องจะแตกต่างกันใปขี้นอยู่กับชนิดหรือพันธุ์ เมี่อยอดเจริญสูงขึ้นอาจพบรากบริเวณลำต้นและรากเหล่านี้จะเจริญยืดยาวลงสู่เครื่องปลูกได้ก็ต่อเมื่อโรงเรือนมีความชื้นสูงพอ ลำต้นอาจเจริญเป็นยอดเดี่ยวหรือ แตกเป็นกอก็ได้ ใบมีรูปร่างต่าง ๆ กัน เช่น รูปหัวใจ ดังเช่นที่พบในหน้าวัว หรือ รูปพายคล้ายใบของเขียวหมื่นปีและรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดดังที่พบในเปลวเทียนแต่ไม่ว่าจะมีรูปร่าง อย่างไรจะสังเกตเห็นว่าปลายใบแหลม ในพวกที่มี ใบกว้างเส้นใบจะเรียงตัวคล้ายร่างแหขณะที่พวกซึ่งมีใบแคบเส้นใบจะเรียงตัว คล้ายเส้นขนาน แต่ทั้งนี้เส้นใบมักจะนูนขึ้นอย่างชัดเจน
ชื่อสามัญ Caricature Plant
ชื่อวิทยาศาสตร์ Grapthophyllun pictum
ลักษณะทั่วไป
ใบเงินเป็นพรรณไม้ขนาดเล็ก ลักษณะเป็นพุ่มขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 2-4 เมตร แตกกิ่งสาขาออกจากโคนต้น และเจริญพุ่งตรงไปข้างบน ลำต้นกลมเล็ก สีขาวปนเทา ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ๆสลับกันตามลำต้น ใบเป็นรูปรี ปลายใบแหลมขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อยขนาดใบกว้างประมาณ3-6 เซนติเมตรยาวประมาณ7-10 เซนติเมตรพื้นใบสีเขียวกลางใบปนด้วยสีขาวหรือเหลืองจาง ๆ ออกดอกเป็นช่อ ตามส่วนยอดของลำต้น ลักษณะดอกเป็นหลอดยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตรโคนหลอดจะมีกลีบดอก 3 กลีบ ดอกมีสีแดงเข้ม
ใบเงินเป็นพรรณไม้ขนาดเล็ก ลักษณะเป็นพุ่มขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 2-
ชื่อสามัญ Gold Leaves
ชื่อวิทยาศาสตร์ Grapthophyllun pictum
ชื่อวิทยาศาสตร์ Grapthophyllun pictum
ลักษณะทั่วไป
ใบทองเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กลักษณะเป็นพุ่มขนาดกลางลำต้นมีความสูง ประมาณ24เมตรการแตกกิ่งก้านสาขาออกจากโคนต้นและเจริญพุ่งตรงขึ้นไปข้างบน ลำต้นกลมเล็กมีสีขาวปนเทาใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกเป็นคู่ๆสลับกันตามข้อของลำ ต้นหรือกิ่งก้าน ลักษณะใบคล้ายรูปหอกปลายใบแหลมโคนใบสอบขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อยพื้นใบมีสีเหลืองอ่อน ขอบใบจะมีรอยด่างเป็นสีเหลือง ขนาดใบกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อสั้นออกตามส่วนยอดของลำต้น ลักษณะเป็นหลอดยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร โคนหลอดจะมีกลีบดอก 3 กลีบ ดอกมีสีม่วง
ใบทองเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็กลักษณะเป็นพุ่มขนาดกลางลำต้นมีความสูง ประมาณ24เมตรการแตกกิ่งก้านสาขาออกจากโคนต้นและเจริญพุ่งตรงขึ้นไปข้างบน ลำต้นกลมเล็กมีสีขาวปนเทาใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกเป็นคู่ๆสลับกันตามข้อของลำ ต้นหรือกิ่งก้าน ลักษณะใบคล้ายรูปหอกปลายใบแหลมโคนใบสอบขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อยพื้นใบมีสีเหลืองอ่อน ขอบใบจะมีรอยด่างเป็นสีเหลือง ขนาดใบกว้างประมาณ 3-
ชื่อสามัญ Sago palm
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cycas revolute
ลักษณะทั่วไป
ใบของปรงมีขนาดเล็กคล้ายกับใบของปาล์ม แต่การเรียงตัวของใบนั้นคล้ายกับเฟิร์นข้าหลวง คือมีการเรียงตัวอยู่รอบ ๆ ศูนย์กลางของลำตัว ปรงเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย เจริญเติบโตช้ามาก คือ 1 ปีจะเกิดใบเพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น ปรงสามารถทนต่อการขาดน้ำได้เป็นอย่างดีและถ้าขาดน้ำนาน ๆ ใบของปรงจะแห้เหี่ยวตายไปแต่พอได้รับน้ำอีกครั้งใบก็จะเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ใบของปรงมีขนาดเล็กคล้ายกับใบของปาล์ม แต่การเรียงตัวของใบนั้นคล้ายกับเฟิร์นข้าหลวง คือมีการเรียงตัวอยู่รอบ ๆ ศูนย์กลางของลำตัว ปรงเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย เจริญเติบโตช้ามาก คือ 1 ปีจะเกิดใบเพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น ปรงสามารถทนต่อการขาดน้ำได้เป็นอย่างดีและถ้าขาดน้ำนาน ๆ ใบของปรงจะแห้เหี่ยวตายไปแต่พอได้รับน้ำอีกครั้งใบก็จะเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Haworthia reinwardtii
ลักษณะทั่วไป
โดยหลักความจริงแล้วม้าลายนี้เราต่าจะเรียกว่าเป็นว่านหางจระเข้อีกพันธุ์หนึ่ง ก็น่าจะได้เพราะลักษณะ
ลำต้นและใบคล้ายว่านหางจระเข้มากแต่ที่จะแตกต่างกันก็คือสีของใบเท่านั้นม้าลายใบจะมีสีเขียวเข้มและจะมีสีขาว พาดตามขวางเป็นลักษณะของข้ออยู่ด้านหลังใบ ใบมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมยาวประมาณ1 -2 นิ้ว กว้างประมาณ 1/2 นิ้ว ม้าลายเป็นพืชที่ต้องการอากาศอบอุ่นเหมาะที่จะปลูกเลี้ยงไว้ในอาการบ้านเรือนโดยอาจวางไว้ที่ชื้น หรือข้างหน้าต่าง ที่แสงสว่างส่องถึงแต่ไม่ควรให้ถูกแสงแดดโดยตรง
โดยหลักความจริงแล้วม้าลายนี้เราต่าจะเรียกว่าเป็นว่านหางจระเข้อีกพันธุ์หนึ่ง ก็น่าจะได้เพราะลักษณะ
ลำต้นและใบคล้ายว่านหางจระเข้มากแต่ที่จะแตกต่างกันก็คือสีของใบเท่านั้นม้าลายใบจะมีสีเขียวเข้มและจะมีสีขาว พาดตามขวางเป็นลักษณะของข้ออยู่ด้านหลังใบ ใบมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมยาวประมาณ1 -
ชื่อสามัญ Mather - in - law's Tongue
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sancivieria..
ลักษณะทั่วไป
ลิ้นมังกรเป็นพรรณไม้ที่มีลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าอยู่ในดินลักษณะลำต้นเป็นข้อๆใบเกิดจากหัวที่โผล่ออมาพ้นดินเป็นกอ ลักษณะใบยาวปลายแหลมแข็งเป็นมันขอบใบเรียบโค้งงอเล็กน้อยขอบใบมีสีเหลืองกลางใบสีเขียวอ่อนประด้วยเส้นสีเขียวเข้ม ขนาดของใบกว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร ก้านดอกประกอบด้วยกลุ่มดอกเป็นชั้น ๆ ลักษณะดอกมีขนาดเล็ก ออกเรียงกันเป็นแนวตามชั้นของก้านดอกดอกมีสีขาวมีกลีบประมาณ 5 กลีบ นาดดอกบานเต็มที่ 2 เซนติเมตร ลักษณะขนาดใบ และสีสรร จะแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
ลิ้นมังกรเป็นพรรณไม้ที่มีลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าอยู่ในดินลักษณะลำต้นเป็นข้อๆใบเกิดจากหัวที่โผล่ออมาพ้นดินเป็นกอ ลักษณะใบยาวปลายแหลมแข็งเป็นมันขอบใบเรียบโค้งงอเล็กน้อยขอบใบมีสีเหลืองกลางใบสีเขียวอ่อนประด้วยเส้นสีเขียวเข้ม ขนาดของใบกว้างประมาณ 4-
ชื่อสามัญ Variegated balgour aralia
ชื่อวิทยาศาสตร์ Polysias balgouriana “marginata”
ถิ่นกำเนิด แถบร้อนของอัฟริกา อินเดียและหมู่เกาะแปซิฟิค
ชื่อวิทยาศาสตร์ Polysias balgouriana “marginata”
ถิ่นกำเนิด แถบร้อนของอัฟริกา อินเดียและหมู่เกาะแปซิฟิค
ลักษณะทั่วไป
ครุฑตีนกบนี้เป็นไม้พุ่มมีความสูงประมาณ11.5เมตรลำต้นมีสีน้ำตาลอ่อนมีกระสีเขียวอ่อนตามลำต้นและกิ่งก้าน ใบประกอบด้วยใบย่อย3ใบมีลักษณะคล้ายกับไตใบกว้างประมาณ8ซ.ม.พื้นใบมีสีเขียวแต่ที่ขอบใบจะมีสีขาวครีม ขอบใบหยักและมีหนามเล็กน้อยที่ขอบใบส่วนโคนของก้านใบมีลักษณะเป็นกาบเหมาะที่จะปลูกเป็นกลุ่ม เป็นกอบนสนามหญ้าหรือจะใช้จัดสวนหย่อมก็ได้
ครุฑตีนกบนี้เป็นไม้พุ่มมีความสูงประมาณ11.5เมตรลำต้นมีสีน้ำตาลอ่อนมีกระสีเขียวอ่อนตามลำต้นและกิ่งก้าน ใบประกอบด้วยใบย่อย3ใบมีลักษณะคล้ายกับไตใบกว้างประมาณ8ซ.ม.พื้นใบมีสีเขียวแต่ที่ขอบใบจะมีสีขาวครีม ขอบใบหยักและมีหนามเล็กน้อยที่ขอบใบส่วนโคนของก้านใบมีลักษณะเป็นกาบเหมาะที่จะปลูกเป็นกลุ่ม เป็นกอบนสนามหญ้าหรือจะใช้จัดสวนหย่อมก็ได้
ชื่อสามัญ Cornstalk Plant
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracaena fragrans massangeana
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracaena fragrans massangeana
ลักษณะทั่วไปวาสนาอธิษฐานเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางลำต้นมีความสูงประมาณ4-10เมตรลำต้นกลมต้นตรง ไม่มีกิ่งก้านลำต้นเป็นข้อถี่ผิวเปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากลำต้นส่วนยอดเรียงซ้อนกัน เวียนรอบลำต้นเป็นรูปวงกลมลักษณะใบเรียวยาวปลายใบแหลมขอบใบเรียบผิวใบเกลี้ยงเป็นมันสีเขียวตัวใบโค้งงอ ขนาดใบกว้างประมาณ3-6เซนติเมตรยาวประมาณ20-40 เซนติเมตรออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้นช่อดอก มีขนาดใหญ่เป็นรูปทรงกลมช่อดอกยาวดอกมีขนาดเล็กอยู่รวมกันเป็กลุ่มดอกมีสีขาวหรือเหลืองอ่อนกลิ่นหอม ฉุนวาสนาราชินีต่างกับวาสนาอธิษฐานตรงที่สีของใบวาสนาอธิษฐานพื้นใบมีสีเขียวมีลายเส้น สีขาวหรือเหลือง พาดตามยาวของใบ
ชื่อสามัญ : ว่านกาบหอยแครงแครง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tradescantia spathacea , Swarty
ชื่อวงศ์ : COMMELINACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tradescantia spathacea , Swarty
ชื่อวงศ์ : COMMELINACEAE
ลักษณะทั่วไป
ต้นสีม่วงเข้มแตกกอตั้งตรงทรงพุ่มผิวหยาบใบสีม่วงปนเขียวท้องใบสีม่วงดอกสีขาวไม้ล้มลุกขึ้นป็นกอลำต้นอวบสั้น ใบใบเยวรูปแถบกว้าง2-6เซนติเมตรยาว15-40เซนติเมตรปลายปหลมโคนโอบลำต้นใบหนาด้านบนสีเขียวเข้มด้านล่างสีม่วงอมแดง บางพันธุ์ด้านล่างมีสีเขียวดอกสีขาวออกเป็นช่อตามซอกใบใบประดับรูปหัวใจ สีม่วงแกมเขียว 2 ใบ กลีบดอก 3 กลีบเมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 -1.5 เซนติเมตร เกสรตัวผู้ 6 อัน ผลรูปรี เมล็ดเล็กมาก
ต้นสีม่วงเข้มแตกกอตั้งตรงทรงพุ่มผิวหยาบใบสีม่วงปนเขียวท้องใบสีม่วงดอกสีขาวไม้ล้มลุกขึ้นป็นกอลำต้นอวบสั้น ใบใบเยวรูปแถบกว้าง2-6เซนติเมตรยาว15-40เซนติเมตรปลายปหลมโคนโอบลำต้นใบหนาด้านบนสีเขียวเข้มด้านล่างสีม่วงอมแดง บางพันธุ์ด้านล่างมีสีเขียวดอกสีขาวออกเป็นช่อตามซอกใบใบประดับรูปหัวใจ สีม่วงแกมเขียว 2 ใบ กลีบดอก 3 กลีบเมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 -
ชื่อสามัญ Pepperomia emerald ripple
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pepperomis sp.
ตระกูล PIPERACEAE
ถิ่นกำเนิด อเมริกาใต้
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pepperomis sp.
ตระกูล PIPERACEAE
ถิ่นกำเนิด อเมริกาใต้
ลักษณะทั่วไป
เป็ปเปอร์โรเมีย เป็นพืชที่มีมากมายหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นไม้ประดับในร่ม เป็นพันธุ์ไม้ที่มีขนาดเล็กขึ้น
หนาแน่นเป็นกอ มีใบค่อยข้างหนาและเป็นมันเงา มีสีต่างๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นสีเรียบๆ ไม่ค่อยฉูดฉาดรูปใบ
ส่วนมากไม่มีแฉกหรือรอยเว้าขอบใบเรียบดอกมีลักษณะคล้ายดอกพริกเป็ปเปอร์โรเมียเป็นไม้ที่ชอบความ
ชุ่มชื้นและ แสงสว่าง ถ้าปลูกประดับไว้ในมุมที่แสงสว่างไม่พอจะทำให้ใบมีสีซีดไม่สวย
เป็ปเปอร์โรเมีย เป็นพืชที่มีมากมายหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นไม้ประดับในร่ม เป็นพันธุ์ไม้ที่มีขนาดเล็กขึ้น
หนาแน่นเป็นกอ มีใบค่อยข้างหนาและเป็นมันเงา มีสีต่างๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นสีเรียบๆ ไม่ค่อยฉูดฉาดรูปใบ
ส่วนมากไม่มีแฉกหรือรอยเว้าขอบใบเรียบดอกมีลักษณะคล้ายดอกพริกเป็ปเปอร์โรเมียเป็นไม้ที่ชอบความ
ชุ่มชื้นและ แสงสว่าง ถ้าปลูกประดับไว้ในมุมที่แสงสว่างไม่พอจะทำให้ใบมีสีซีดไม่สวย
ชื่อสามัญ : Wandering jew
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zebrina pandula.
ลักษณะทั่วไป
ก้ามปูหลุดนี้เป็นไม้ประดับประเภทคลุมดินใบจะมีสีงดงามและแปลกตาคือใบก้ามปูจะมีสีสามสี
พาดสลับไปตามความยาวของใบ ได้แก่ สีเขียว สีเท่า และสีม่วงเหตุที่ได้ชื่อว่าก้ามปูนั้นก็เพราะว่า
ลักษณะของใบที่แตกออกมาจากลำต้นนั้นคล้ายกับก้ามปู ก้ามปูหลุดเป็นพืชอวบ น้ำขยายพันธุ์ได้ง่าย
เมื่อถูกแสงแดด สีสันจะเข้มสวยงามมาก นิยมปลูกประดับไว้ตามข้างตัวอาคารบ้านเรือนหรือจัดสวน
หย่อม รวมกับไม้ประดับชนิดอื่นๆ
ก้ามปูหลุดนี้เป็นไม้ประดับประเภทคลุมดินใบจะมีสีงดงามและแปลกตาคือใบก้ามปูจะมีสีสามสี
พาดสลับไปตามความยาวของใบ ได้แก่ สีเขียว สีเท่า และสีม่วงเหตุที่ได้ชื่อว่าก้ามปูนั้นก็เพราะว่า
ลักษณะของใบที่แตกออกมาจากลำต้นนั้นคล้ายกับก้ามปู ก้ามปูหลุดเป็นพืชอวบ น้ำขยายพันธุ์ได้ง่าย
เมื่อถูกแสงแดด สีสันจะเข้มสวยงามมาก นิยมปลูกประดับไว้ตามข้างตัวอาคารบ้านเรือนหรือจัดสวน
หย่อม รวมกับไม้ประดับชนิดอื่นๆ
ชื่อสามัญ Gold dust
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracaena surculosa
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracaena surculosa
ลักษณะทั่วไป
ไผ่ฟิลิปินส์มีใบค่อนข้างป้อมมากกว่า Dracaena ชนิดอื่นๆ ใบมีสีเขียวเข้มใบอ่อนมีจุดประสีเขียวอ่อน อยู่ประปรายแต่พอใบแก่ขึ้นจุดสีเขียวอ่อนเหล่านี้จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสีเขียวเข้ม เป็นไม้พุ่ม
ขนาดเล็ก ใบแตกที่ยอดเป็นชุดๆ ชุดละ 2-3 ใบ ติดกัน สามารถใช้ประดับประดาภายในอาคารได้
เป็นอย่างดี ชอบแสงแดดรำไร และทนอยู่ในที่ ๆ มีแสงทึบได้เป็นเวลานาน ไผ่ดำนี้ได้มีกลายพันธุ์
ออกไปมากมายอันได้แก่ ไผ่ฟิลิปปินส์ ไผ่ฟิลิปปินส์จุดมาก ทางช้างเผือก บางกอกบิวตี้ และสโนไวท์
ไผ่ฟิลิปินส์มีใบค่อนข้างป้อมมากกว่า Dracaena ชนิดอื่นๆ ใบมีสีเขียวเข้มใบอ่อนมีจุดประสีเขียวอ่อน อยู่ประปรายแต่พอใบแก่ขึ้นจุดสีเขียวอ่อนเหล่านี้จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสีเขียวเข้ม เป็นไม้พุ่ม
ขนาดเล็ก ใบแตกที่ยอดเป็นชุดๆ ชุดละ 2-3 ใบ ติดกัน สามารถใช้ประดับประดาภายในอาคารได้
เป็นอย่างดี ชอบแสงแดดรำไร และทนอยู่ในที่ ๆ มีแสงทึบได้เป็นเวลานาน ไผ่ดำนี้ได้มีกลายพันธุ์
ออกไปมากมายอันได้แก่ ไผ่ฟิลิปปินส์ ไผ่ฟิลิปปินส์จุดมาก ทางช้างเผือก บางกอกบิวตี้ และสโนไวท์
ชื่อพื้นเมือง ฟิโลเดรนดรอนสีทอง ฟิโลทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Philodendron cv. Lemon Lime
ชื่อพื้นเมือง ARACEAE
ชื่อวงศ์ Philodendron
ถิ่นกำเนิด อเมริกาเขตร้อน และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก
ชื่อวิทยาศาสตร์ Philodendron cv. Lemon Lime
ชื่อพื้นเมือง ARACEAE
ชื่อวงศ์ Philodendron
ถิ่นกำเนิด อเมริกาเขตร้อน และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก
ลักษณะทั่วไป
ต้นไม้ประดับเป็นไม้เลื้อย ชอบขึ้นเลื้อยพันกับต้นไม้ใหญ่ ใช้รากอากาศช่วยยึดเกาะพยุงต้นไว้ ลำต้นขนาด 2- 4 เซนติเมตรใบใบเดี่ยวรูปใบพายขนาดใหญ่กว้าง7-12เซนติเมตรยาว12-19เซนติเมตรปลายใบแหลมและใบมักจะโค้ง สีเหลืองทอง ใบแก่จะมีสีเขียวอมเหลือง ขอบใบเรียบ ดอก ดอกช่อ มีกาบหุ้ม ไม่มีความสวยงาม
ต้นไม้ประดับเป็นไม้เลื้อย ชอบขึ้นเลื้อยพันกับต้นไม้ใหญ่ ใช้รากอากาศช่วยยึดเกาะพยุงต้นไว้ ลำต้นขนาด 2- 4 เซนติเมตรใบใบเดี่ยวรูปใบพายขนาดใหญ่กว้าง7-12เซนติเมตรยาว12-19เซนติเมตรปลายใบแหลมและใบมักจะโค้ง สีเหลืองทอง ใบแก่จะมีสีเขียวอมเหลือง ขอบใบเรียบ ดอก ดอกช่อ มีกาบหุ้ม ไม่มีความสวยงาม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hymenocallis littoralos Salosb cv.variegata
วงศ์ AMARYLLIDACEAE
ชื่อท้องถิ่น “ รางทอง”
วงศ์ AMARYLLIDACEAE
ชื่อท้องถิ่น “ รางทอง”
การปลูก
“ ว่านรางทอง” เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำดี เช่น ดินปนทรายที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง 6.1ในกรณีที่ปลูกเลี้ยงในกระถางควรใช้ดินผสมที่มี “ ดิน : ทราย : ขี้เถ้าแกลบ : ปุ๋ยหมัก” ในอัตราส่วน 2 : 1 :1 :1 คือดิน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 1 ส่วน และปุ๋ยหมัก 1 ส่วน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ปริมาณ1 กิโลกรัม และปูนขาวครึ่งกิโลกรัม และรดปุ๋ยเคมีละลายน้ำสูตร 15-15-15 ความเข้มข้น 50 มิลลิกรัมต่อลิตรทุกสัปดาห์
“ ว่านรางทอง” เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำดี เช่น ดินปนทรายที่มีความเป็นกรดเป็นด่าง 6.1ในกรณีที่ปลูกเลี้ยงในกระถางควรใช้ดินผสมที่มี “ ดิน : ทราย : ขี้เถ้าแกลบ : ปุ๋ยหมัก” ในอัตราส่วน 2 : 1 :1 :1 คือดิน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 1 ส่วน และปุ๋ยหมัก 1 ส่วน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ปริมาณ
ชื่อสามัญ Canna, Indian shoot
ชื่อวิทยาศาสตร์ Canna generalis
ตระกูล CANNACEAE
ถิ่นกำเนิด หมู่เกาะฮาวาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Canna generalis
ตระกูล CANNACEAE
ถิ่นกำเนิด หมู่เกาะฮาวาย
ลักษณะทั่วไป
พุทธรักษาเป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้ามีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วยลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้น มีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ2-4เซนติเมตรใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบกลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ้งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกันขนาดใบกว้างประมาณ 10- 15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 25- 35 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15- 20 เซนติเมตร ประกอบด้วยดอก 8-10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
พุทธรักษาเป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-
ชื่อวิทยาศาสตร์: Ficus benjamina L. var. variegate
ชื่อวงศ์: MORACEAE
ชื่อสามัญ: Gogen fig.
ลักษณะวิสัย: ไม้ต้น ไม้ประดับ
ชื่อวงศ์: MORACEAE
ชื่อสามัญ: Gogen fig.
ลักษณะวิสัย: ไม้ต้น ไม้ประดับ
ลักษณะทั่วไป
ใบเป็นรูปไข่ มีสีเขียวแกมเหลืองหรือเหลืองออกขาวนิยมปลูกเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ ลำต้นมีสีเทา ขึ้นได้ดีในดินร่วน ชอบแสงปานกลาง แสงมากชอบความชื้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ทรงพุ่มหนาทึบ ใบรูปไข่ปลายใบแหลม ฐานใบเรียวสอบเข้าหาก้านใบ ก้านใบค่อนข้างสั้น พื้นใบมีมีสีเขียวอมเทา ด่างขาวบริเวณขอบใบทั้งสองด้านรวมทั้งตามผิวบางส่วน
ใบเป็นรูปไข่ มีสีเขียวแกมเหลืองหรือเหลืองออกขาวนิยมปลูกเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ ลำต้นมีสีเทา ขึ้นได้ดีในดินร่วน ชอบแสงปานกลาง แสงมากชอบความชื้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ทรงพุ่มหนาทึบ ใบรูปไข่ปลายใบแหลม ฐานใบเรียวสอบเข้าหาก้านใบ ก้านใบค่อนข้างสั้น พื้นใบมีมีสีเขียวอมเทา ด่างขาวบริเวณขอบใบทั้งสองด้านรวมทั้งตามผิวบางส่วน
ชื่อสามัญ Dwarf Bouquet
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracaena dermensis
ลักษณะทั่วไป
มรกตหยก ไม่ปรากฏถิ่นกำเนิดไม่แน่นอน แต่ทราบว่าแพร่พันธุ์มาจากเปอโตริโก รัฐฟลอริดา ในสหรัฐอเมริกา เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ลำต้นสูงประมาณ 1-1.5ฟุตมีใบหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นลำต้นใบมีสีเขียวเป็นรูปหอก ปลายใบแหลมขอบใบบิดเป็นลอนเล็กน้อยขึ้นอยู่รอบๆต้นเรียงซ้อนๆกันขึ้นไปจนถึงส่วนยอดของลำต้นมรกตหยก เป็นที่ไม่ชอบแสงแดดจัด จะเจริญงอกงามได้ดีทั้งในที่ร่มและมีแสงรำไร มีแสงสว่างเพียงพอ ปลูกในดินที่ร่วนซุย มรกตหยกเป็นพืชที่ชอบน้ำมาก จึงเหมาะสำหรับใช้ปลูกในอาคารสถานที่ต่างๆ
ลักษณะทั่วไป
มรกตหยก ไม่ปรากฏถิ่นกำเนิดไม่แน่นอน แต่ทราบว่าแพร่พันธุ์มาจากเปอโตริโก รัฐฟลอริดา ในสหรัฐอเมริกา เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ลำต้นสูงประมาณ 1-1.5ฟุตมีใบหนาทึบจนแทบมองไม่เห็นลำต้นใบมีสีเขียวเป็นรูปหอก ปลายใบแหลมขอบใบบิดเป็นลอนเล็กน้อยขึ้นอยู่รอบๆต้นเรียงซ้อนๆกันขึ้นไปจนถึงส่วนยอดของลำต้นมรกตหยก เป็นที่ไม่ชอบแสงแดดจัด จะเจริญงอกงามได้ดีทั้งในที่ร่มและมีแสงรำไร มีแสงสว่างเพียงพอ ปลูกในดินที่ร่วนซุย มรกตหยกเป็นพืชที่ชอบน้ำมาก จึงเหมาะสำหรับใช้ปลูกในอาคารสถานที่ต่างๆ
ชื่อสามัญ Bird's nest fern
ชื่อวิทยาศาสตร์ Asplenium nidus
ลักษณะทั่วไป
เกิดอยู่ทั่วไปในแถบที่มีอากาศร้อนและอบอุ่น เช่น เอเซีย ออสเตรเลียเฟิร์นชนิดนี้ ฝรั่งแรียกว่า " Bird's nest fern" เฟิร์นรังนกชอบอาศัยอยู่ตามคาคบไม้ใหญ่ในเขตอบอุ่นที่มีความชื้นสูงถือว่าเป็นลักษณะของกาฝากใบของเฟิร์นข้าหลวง จะมีสีเขียวอ่อนขอบใบหยักเป็นคลื่น ก้านใบจะมีสีน้ำตาลเข้ม การเรียงตัวของใบจะเรียงตัวแบบเกลียวคล้ายดอกกุหลาบ ใบที่เกิดใหม่จะอ่อนและเปราะหักได้ง่ายแต่พอเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะมีความเหนียวและหนามากเมื่อนำมาปลูกภายในอาคาร บ้านเรือนจะต้องคอยทำความสะอาดเช็ดถูสิ่งสกปรกและฝุ่นละอองออกจากใบบ้างเดือนละครั้งก็ยังดีเฟิร์นข้าหลวงเป็นพืชที่ชอบ ความชื้นสูงถ้าอากาศแห้งแล้งควรฉีดสเปรย์ให้ใบของมันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพราะการฉีดละอองน้ำจะทำให้ใบของมันสดชื่นอยู่ตลอด
ลักษณะทั่วไป
เกิดอยู่ทั่วไปในแถบที่มีอากาศร้อนและอบอุ่น เช่น เอเซีย ออสเตรเลียเฟิร์นชนิดนี้ ฝรั่งแรียกว่า " Bird's nest fern" เฟิร์นรังนกชอบอาศัยอยู่ตามคาคบไม้ใหญ่ในเขตอบอุ่นที่มีความชื้นสูงถือว่าเป็นลักษณะของกาฝากใบของเฟิร์นข้าหลวง จะมีสีเขียวอ่อนขอบใบหยักเป็นคลื่น ก้านใบจะมีสีน้ำตาลเข้ม การเรียงตัวของใบจะเรียงตัวแบบเกลียวคล้ายดอกกุหลาบ ใบที่เกิดใหม่จะอ่อนและเปราะหักได้ง่ายแต่พอเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะมีความเหนียวและหนามากเมื่อนำมาปลูกภายในอาคาร บ้านเรือนจะต้องคอยทำความสะอาดเช็ดถูสิ่งสกปรกและฝุ่นละอองออกจากใบบ้างเดือนละครั้งก็ยังดีเฟิร์นข้าหลวงเป็นพืชที่ชอบ ความชื้นสูงถ้าอากาศแห้งแล้งควรฉีดสเปรย์ให้ใบของมันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพราะการฉีดละอองน้ำจะทำให้ใบของมันสดชื่นอยู่ตลอด
ชื่อสามัญ Siamese rough bush
ชื่อวิทยาศาสตร์ Streblue asper
ลักษณะทั่วไป
ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นค่อนข้างคดงอเป็นปุ่มปมหรือเป็นพูเป็นร่องทั่วไปอาจขึ้นเป็นต้นเดียว หรือเป็นกลุ่ม แตกกิ่งต่ำบางครั้งพบว่าเกือบชิดดินเรือนยอดเป็นรูปวงกลมกิ่งก้านสาขามากเปลือกสีเทาอ่อนเปลือกแตกเป็นแผ่นบางๆ มียางสีขาวเหนียวซึมออกมาใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับมีขนาดเล็กรูปใบรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 2 - 3.5 ซ.ม. ยาว 4 - 7 ซ.ม. เนื้อใบค่อนข้างหนาผิวสากเหมือนกระดาษทรายทั้งสองด้านดอกออกเป็นช่อสีขาวเหลืองอ่อน ออกตามปลายกิ่ง ดอกเดี่ยวแต่รวมกันเป็นกระจุกดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ต่างดอกกันผลสดกลมเมล็ดโตขาดเมล็ดพริกไทย มีเนื้อเยื่อหุ้มผลแก่จัดจะมีสีเหลืองซึ่งมีรสหวานนกจะชอบกินผลข่อย
ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นค่อนข้างคดงอเป็นปุ่มปมหรือเป็นพูเป็นร่องทั่วไปอาจขึ้นเป็นต้นเดียว หรือเป็นกลุ่ม แตกกิ่งต่ำบางครั้งพบว่าเกือบชิดดินเรือนยอดเป็นรูปวงกลมกิ่งก้านสาขามากเปลือกสีเทาอ่อนเปลือกแตกเป็นแผ่นบางๆ มียางสีขาวเหนียวซึมออกมาใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับมีขนาดเล็กรูปใบรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 2 - 3.5 ซ.ม. ยาว 4 - 7 ซ.ม. เนื้อใบค่อนข้างหนาผิวสากเหมือนกระดาษทรายทั้งสองด้านดอกออกเป็นช่อสีขาวเหลืองอ่อน ออกตามปลายกิ่ง ดอกเดี่ยวแต่รวมกันเป็นกระจุกดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ต่างดอกกันผลสดกลมเมล็ดโตขาดเมล็ดพริกไทย มีเนื้อเยื่อหุ้มผลแก่จัดจะมีสีเหลืองซึ่งมีรสหวานนกจะชอบกินผลข่อย
